Skip to main content
4 เม.ย.2558 เฟซบุ๊กแฟนเพจ 'ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน' รายงานว่า จากกรณีที่เมื่อวันที่ 19 มี.ค.58 ได้มีการพบกระดาษที่มีข้อความเป็นบทกวีชื่อ “วิปริตสถาน” จำนวนมากติดอยู่ภายในบอร์ดบริเวณอาคารเรียนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เนื้อหาเป็นการวิพากษ์วิจารณ์สภาพบ้านเมืองและระบบโซตัสภายในมหาลัย โดยลงชื่อผู้เขียนนามว่า “นายเพื่อน” 
 
ทางศูนย์ทนายความฯ ได้รับข้อมูลว่านักศึกษาจากคณะวิจิตรศิลป์ มหาลัยเชียงใหม่ ผู้เขียนและติดบทกวีดังกล่าว ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเข้าพูดคุย “ปรับทัศนคติ” ภายในมหาวิทยาลัย
 
“นายเพื่อน” (ขอสงวนนามจริง) ให้ข้อมูลว่าในช่วงเช้าวันที่ 25 มี.ค.58 ระหว่างที่กำลังไปเรียนที่คณะ ได้มีเจ้าหน้าที่ของคณะเข้ามาพูดคุย โดยมีการเรียกชื่อเขา พร้อมกับบอกว่ารู้ใช่ไหมว่าเรื่องอะไร และอยากให้ไปที่สำนักงานอธิการบดีเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจ
 
เขาพบกับเจ้าหน้าที่ที่เข้าใจว่ามาจากกองกิจการนักศึกษา ซึ่งได้สอบถามเรื่องการติดบทกวีดังกล่าว และป้ายที่มีข้อความทางการเมืองอื่นๆ ที่ติดภายในมหาวิทยาลัย โดยเขายืนยันว่าติดแต่เพียงบทกวี “วิปริตสถาน” อย่างเดียว ส่วนป้ายอื่นๆ ไม่ทราบว่าใครทำ ส่วนแรงบันดาลใจเกิดจากประสบการณ์การกดขี่จากระบบโซตัสภายในมหาลัย และรู้สึกถึงการกระทำที่ไม่สร้างสรรค์ต่างๆ เช่นเดียวกับสภาพสังคมไทยในเวลานี้ จึงอยากใช้โอกาสการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารสโมสรนักศึกษา สื่อสารตั้งคำถามกับเพื่อนนักศึกษา 
 
เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าทางทหารต้องการตัวนักศึกษาที่ติดป้ายเคลื่อนไหวทางการเมือง ในตอนแรกจะให้เอาตัวเขาไปพูดคุยภายนอกมหาวิทยาลัย แต่ทางมหาวิทยาลัยอยากให้คุยเสร็จสิ้นเป็นการภายใน เพราะเป็นพื้นที่ทางการศึกษา โดยเจ้าหน้าที่มหาลัยได้นัดให้เขามาพบอีกครั้งในช่วงบ่าย
 
ในช่วงบ่าย ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารราว 6 นาย จากมณฑลทหารบกที่ 33 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 นาย เดินทางมาพูดคุยกับเขาด้วยที่ห้องประชุมสำนักงานอธิบการบดี ทหารได้สอบถามถึงสาเหตุการติดบทกวีดังกล่าว วิธีการติด และเงินที่ใช้ทำกิจกรรม โดยสงสัยว่าถูกจ้างวานมาหรือไม่ เขาได้ยืนยันว่าทำกิจกรรมเองด้วยเงินส่วนตัว ไม่ได้มีสังกัดกลุ่มทางการเมืองใดๆ 
 
เจ้าหน้าที่ทหารได้สอบถามและแลกเปลี่ยนถึงความคิดเห็นทางการเมือง และได้ขอให้อย่าทำเช่นนี้อีกในช่วงนี้ เนื่องจากข้อความในเอกสารเข้าข่ายเป็นการยุยงปลุกปั่น และบ้านเมืองยังอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก สามารถถูกดำเนินคดีได้ โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้เขาเซ็นเอกสารข้อตกลงใดๆ
 
ระหว่างการพูดคุยมีอาจารย์จากคณะของเขาอยู่ด้วย โดยได้พยายามช่วยพูดให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ของมหาลัยเพียงแต่นั่งสังเกตการณ์การพูดคุยด้วย