Skip to main content

พริษฐ์ ชิวารักษ์  กล่าวว่า  ตนรู้สึกโชคดีที่อยู่โรงเรียนเตรียมอุดมเนื่องจากว่าโรงเรียนเตรียมอุดมเป็นโรงเรียนที่ไม่ค่อยเจอในเรื่องสยองทางการศึกษา ซึ่งระบบการศึกษานั้นเราไม่ได้เอาหนังสือไปฟาดหัวใครให้ตายแต่เราทำลายตัวตนของคน ทำให้คนเรากลายเป็นอื่นที่ไม่ใช้ตัวตนของเรา

                ระบบการศึกษาออกแบบมาดีมากแบบไม่มีทางเลือก คือบังคับให้เด็กต้องเดินตามทางที่กำหนดนั้นคือ ต้องเลือกเรียนแบบนี้ลงเรียนแบบนี้ซึ่งจะไม่มีทางเลือกให้ไม่มากนัก โดยหลักสูตรส่วนใหญ่เน้นแค่การท่องจำแต่ก็ไม่ใช้ปัญหาเท่ากับสิ่งที่เราอยากเรียน การเรียนม.ปลายเราสามารถเลือกวิชาเรียนเองได้ไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองนอกที่สามารถเลือกเรียนในสิ่งเราชอบได้ กลายเป็นว่าเราเรียนเยอะเกินไปหลายอย่างเกินไป อย่างน้อยเราควรมีโอกาสได้เลือกมากกว่านี้ หลายคนบอกว่า ม.ปลายได้เลือก สายวิทย์ สายศิลป์ ซึ่งมันเพียงพอแล้วแต่จริงๆมันไม่พอ เพราะว่า เราควรได้รับการส่งเสริมให้ได้เลือกในสิ่งที่มันละเอียดกว่านั้นเน้นความสนใจเฉพาะด้านมากกว่านั้น เช่น ชอบเรียนภาษา ไม่ชอบสังคมเลยเรียนแค่ภาษาก็พอเอาเวลาไปทุ่มกับอันอื่นที่ดีกว่า  ในส่วนของกิจกรรมเสริมโรงเรียนทั่วไปก็ไม่ได้มีโอกาสเปิดให้พัฒนาหรือส่งเสริมมากนัก

โรงเรียนเป็นเหมือนการจำลองชีวิต เพราะเราคิดว่าเดียวเด็กโตไปก็กลายเป็นผู้ใหญ่ ทุกวันนี้ตนเองหวังไว้ว่าเรียนให้มันจบ ๆ ไป ด้วยความที่ตัวเองเรียนสายศิลป์ด้านที่ถนัดอยู่แล้วมีความรู้ค่อนข้างมากจะเรียนหรือไม่เรียนในห้องก็ไม่ต่างกันมากเท่าไร “ก็สู้ไม่เรียนซะดีกว่า” 

                การศึกษาเราเป็นเหมือนยาฝิ่น มันไม่ได้ฆ่าเราทันทีแต่มันทำให้คนเราเฉื่อยชา ทำให้คนเราชิน คนเราไม่กล้า สุดท้ายก็จะหลายเป็นคนที่ทำอะไรเรื่อยๆเฉื่อยๆ และเราจะเสียความเป็นตัวเอง ก่อนที่จะมีการปฏิรูปทางการศึกษาเราต้องตอบให้ชัดเจนว่าเราต้องการอะไรจากการศึกษาบ้าง การศึกษาต้องทำให้คนกล้า กล้าที่จะคิด กล้าที่จะพูด และกล้าที่จะทำ และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ กล้าที่จะเป็นตัวเอง สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของการศึกษาคือทำให้คนเรากลายเป็นทาส แต่ไม่ใช้ทาสที่โดนจะโดนข่มเหง ทาสที่เลวร้ายกว่านั้นคือทาสที่ไม่กล้าคิด ทาสที่ไม่ได้เคลื่อนไหว เพราะผู้ที่ไม่เคลื่อนไหวนั้น ย่อมไม่รู้สึกได้ถึงโซ่ที่ล่ามพวกเราอยู่ พริษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย