Skip to main content

11 เม.ย. 2558 ที่ด้านนอกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บริเวณประตูท่าพระจันทร์ ได้มีการจัดกิจกรรม "ดำหัวผู้เฒ่า ขอขมาเยาวชน" โดยกิจกรรมครั้งนี้มีผู้เข้ารวมราว 150 คน โดยในช่วงแรกได้มีการรดน้ำดำหัวผู้เฒ่า ซึ่งประกอบด้วย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, พวงทอง ภวัครพันธุ์, อภิชาต สถิตนิรามัย, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, พนัส ทัศนียานนท์, อธึกกิต แสวงสุข และศรีประภา เพชรมีศรี

จากนั้นในช่วงต่อมาเป็นการให้ผู้เฒ่ารดน้ำเยาวชนกลับ เพื่อขอขมาที่ไม่สามารถรักษาประชาธิปไตยเอาไว้ได้

ก่อนหน้านี้ มติชนออนไลน์รายงานว่า เวลา 13.00 น. บรรยากาศที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในวันนี้ เวลา 16.00 น. จะมีกิจกรรม "ผู้เฒ่าขอขมา-รดน้ำดำหัวเยาวชน" ที่บริเวณลานปรีดีฯ ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งนำโดยอ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  แต่ปรากฎว่าเมื่อผู้สื่อข่าวเดินทางไปถึงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ได้รับแจ้งจาก หัวหน้า รปภ. ประตูท่าพระจันทร์ ว่าเป็นคำสั่งจากทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้งดใช้พื้นที่ในมหาลัยในการทำกิจกรรม พร้อมระบุด้วยว่ามีการกำชับมาจากทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่ากิจกรรมนี้มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง และกิจกรรมนี้ที่ อ.ชาญวิทย์  เป็นหัวขบวนนำในการจัดกิจกรรม ถือเป็นการใช้สิทธิ์ส่วนตัวของการเป็นอาจารย์ ซึ่งไม่ได้รับการอนุญาตจากทางมหาวิทยาลัยสั่งมา

เชียงใหม่เฒ่าขอขมาต่อคนรุ่นหลังที่ไม่อาจส่งต่อประชาธิปไตย

วันเดียวกัน ที่วัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มพลเมืองเสมอกัน (We, The People) ได้จัดกิจกรรม "ดำหัวคนเฒ่า #เยาวชนก็เช่นกัน" ซึ่งเป็นกิจกรรมประเพณีทำการขอขมาลาโทษกันระหว่างผู้อาวุโสกับผู้เยาว์ในเทศกาลสงกรานต์ โดยมีนักวิชาการอาวุโสหลายคนในจังหวัดเชียงใหม่ อาทิเช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์, อานันท์ กาญจนพันธุ์, วัฒนา สุกัณศีล, วรวิทย์ เจริญเลิศ, ชัชวาล บุญปัน, ชำนาญ จันทร์เรือง, นัทมน คงเจริญ และมีนักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัยทั้งจากสถาบันในกรุงเทพฯ ขอนแก่น และเชียงใหม่ เข้าร่วมกิจกรรม รวมทั้งนักกิจกรรมจากกลุ่มพลเมืองโต้กลับก็เดินทางมาร่วมงานด้วยเช่นกัน รวมแล้วมีผู้เข้าร่วมกว่า 100 คน

กิจกรรมเริ่มขึ้นในเวลา 16.00 น. โดยมีการแสดงดนตรีจากวงสุดสะแนน การแสดงละครเรื่อง “คอย???”  จากนั้น นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เป็นตัวแทนคณาจารย์ในการอ่านแถลงคำขมา ซึ่งระบุว่าคนรุ่นผู้อาวุโสทั้งเสียใจและละอายใจที่ต้องส่งมอบมรดกประชาธิปไตยซึ่งถูกกระทำย่ำยีจนเละเทะนี้แก่คนรุ่นเยาวชน ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่จึงใคร่ขอขมาต่อความผิดพลาด ความอ่อนแอ และความโง่เขลาของเราที่ผ่านมาทั้งหมด ด้วยความหวังว่าจะได้รับอโหสิกรรมจากคนรุ่นใหม่ซึ่งต้องรับผิดชอบต่อมรดกที่ไร้ค่าชิ้นนี้

คำขอขมา

นับตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา ประเทศไทยและสังคมไทยก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่านที่กว้างใหญ่เพราะกระทบถึงคนทุกกลุ่ม และลึกถึงระดับฐานรากของสังคม จากประเทศด้อยพัฒนาที่มีคนจนอยู่จำนวนมาก กลายเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง ผลจากความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดกลุ่มที่มีผลประโยชน์เฉพาะด้าน, มีสำนึกใหม่ถึงอัตลักษณ์เฉพาะของตนเอง, ยึดถืออุดมคติทางการเมืองที่แตกต่างกัน, มีความใฝ่ฝันต่ออนาคตที่ไม่เหมือนกัน, และมีความจำเป็นต้องเข้ามาต่อรองนโยบายสาธารณะระดับชาติและท้องถิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สภาวะเช่นนี้ย่อมสร้างความขัดแย้งระหว่างคนกลุ่มต่างๆ เป็นธรรมดา วิถีทางเดียวที่จะทำให้ความขัดแย้งเช่นนี้ดำเนินไปได้โดยปราศจากความรุนแรง คือระบอบประชาธิปไตย ทั้งในแง่การเมืองการปกครอง และความสัมพันธ์ทางสังคมของคนกลุ่มต่างๆ  แม้มีความพยายามของคนรุ่นเรา ซึ่งกลายเป็นคนสูงอายุไปแล้วในบัดนี้ ในอันที่จะเสริมสร้างพลังของประชาธิปไตยในด้านการเมืองการปกครอง และขยายประชาธิปไตยให้เป็นหลักเกณฑ์สำคัญของความสัมพันธ์ทางสังคม แต่คนรุ่นเราก็ประสบความล้มเหลว นอกจากหลักความสัมพันธ์บนฐานประชาธิปไตยถูกชนชั้นนำบางกลุ่มเยาะหยัน และประเมินค่าไว้ต่ำแล้ว บัดนี้ แม้แต่รูปแบบของระบอบการปกครองประชาธิปไตยก็ถูกทำลายลงเพราะการรัฐประหารของกองทัพ หากการณ์เป็นไปตามเจตนาของชนชั้นนำบางกลุ่มที่ร่วมในการยึดอำนาจครั้งนี้ ก็อาจคาดได้เลยว่า ระบอบประชาธิปไตยจะไม่มีอนาคตอะไรเหลืออยู่ในประเทศและสังคมไทยอีกเลย

นั่นหมายความว่า ความขัดแย้งของคนกลุ่มต่างๆ ซึ่งต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเมื่อสังคมได้พัฒนาไปสู่ความเฉพาะด้านมากขึ้น ทั้งส่วนที่เป็นรูปธรรมเช่นเศรษฐกิจ และส่วนที่เป็นนามธรรมเช่นอุดมคติทางสังคม จะกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรง สูญเสีย และไม่นำไปสู่ทางออกที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย หรือแก่ส่วนรวม

และนี่คือประเทศและสังคมไทยที่คนรุ่นเราจะต้องส่งมอบให้แก่คนรุ่นท่าน เป็นมรดกแห่งความมืดมนไร้อนาคต แต่ก็เป็นมรดกที่ท่านปฏิเสธไม่ได้ จึงอยู่ที่ตัวท่านเองว่า จะใช้กำลังสติปัญญาและความร่วมมือกันอย่างไร จึงจะกู้แสงสว่างและอนาคตกลับคืนมาแก่มรดกชิ้นเดียวที่มีอยู่ร่วมกันนี้

คนรุ่นเราทั้งเสียใจและละอายใจที่ต้องส่งมอบมรดกซึ่งถูกกระทำย่ำยีจนเละเทะนี้แก่ท่าน คนรุ่นเราคงไร้สติปัญญา ไร้จิตใจอันกล้าแกร่งพอจะรับมรดกประชาธิปไตยของคณะราษฎรและ 14 ตุลา เพื่อสืบทอดความดีงามของประชาธิปไตยแก่ท่านได้ ในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ครั้งนี้ พวกเราจึงใคร่ขอขมาต่อความผิดพลาด ความอ่อนแอ และความโง่เขลาของเราที่ผ่านมาทั้งหมด ด้วยความหวังว่าจะได้รับอโหสิกรรมจากพวกท่านซึ่งต้องรับผิดชอบต่อมรดกที่ไร้ค่าชิ้นนี้

000

จากนั้นนักวิชาการอาวุโสได้เข้ารดน้ำดำหัวตัวแทนเยาวชน ก่อนที่ตัวแทนของนักศึกษาจะอ่านถ้อยความของผู้สืบทอดตอบกลับ โดยมีเนื้อความระบุว่าขอบคุณคนรุ่นผู้อาวุโสสำหรับการส่งมอบอนาคตให้แก่พวกเรา เรารับรู้ได้ถึงคุณค่าของมรดกชิ้นนี้ ที่เต็มไปด้วยความมืดมน ความรู้สึกผิดและความหวัง แต่คนรุ่นใหม่ก็จะขอรับมรดกอันทรงคุณค่านี้ไว้ในความรับผิดชอบ ขออโหสิกรรมให้ โดยไม่ได้โกรธแค้นต่อสิ่งที่คนรุ่นก่อนไม่สามารถรักษาไว้ให้ไว้กับคนรุ่นเราได้ และสืบทอดภารกิจการสร้างประชาธิปไตย ที่เจตจำนงแห่งเสรีภาพและเสมอภาคจะถูกส่งต่อคนในรุ่นต่อไป

 

ถ้อยความของผู้สืบทอด

นับตั้งแต่วันที่เราจำความได้ เราเติบโตมาบนแผ่นดินนี้ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของอุดมการณ์ทางการเมือง ตลอดจนความขัดแย้งและความรุนแรง  เราเฝ้ามองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ทุกอย่างมันเป็นมรดกจากคนรุ่นก่อน และตกผลึกกลายเป็นความคิดแก่คนรุ่นหลัง  เดิมที พวกเราเป็นเพียงคนรุ่นหลังที่พวกท่านคิดว่าอ่อนความรู้และประสบการณ์ มองโลกไม่ไกลเท่าคนเจนโลกอย่างพวกท่าน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือหาทางออกจากปัญหาเดิมๆเหล่านี้ได้?  วันนี้ พวกท่านเผชิญกับวังวนของปัญหาทางการเมืองที่มองไม่เห็นอนาคต พวกท่านนึกถึงเรา

ในสังคมไทยมีถ้อยคำที่กล่อมเกลาเด็กมากมาย  มันเป็นคำที่ผู้ใหญ่เสี้ยมสอนและส่งมอบให้เรายึดถือ เพื่อสืบทอดอุดมการณ์และการพัฒนาประเทศในวันข้างหน้า วันนี้ เราได้รับฟังการขอขมาจากคนรุ่นท่าน การยอมรับความผิดพลาดของผู้ใหญ่ต่อหน้าเด็กเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งในสังคมไทย

พวกเราขอบคุณพวกท่านด้วยใจจริงสำหรับการส่งมอบอนาคตให้แก่พวกเรา เรารับรู้ได้ถึงคุณค่าของมรดกชิ้นนี้ มันเต็มไปด้วยความมืดมน ความรู้สึกผิดและความหวัง  มรดกชิ้นนี้เราไม่สามารถปฏิเสธมันได้ แม้จะไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าจะกอบกู้แสงสว่างให้กลับคืนมาได้อีกครั้งหรือไม่  แต่เราจะทำอย่างเต็มที่ด้วยสติปัญญาและหัวใจ  ขอเพียงพวกท่านอย่าปิดกั้นการแสดงออกซึ่งเจตจำนงค์ของพวกเรา ต่อมรดกชิ้นเดียวที่ท่านส่งมอบให้เรา

จากนี้ไป เราจะขอรับมรดกอันทรงคุณค่านี้ไว้ในความรับผิดชอบของเรา เราจะไม่ละทิ้ง ไม่หลีกหนี และก้าวเดินไปกับมันด้วยความเข้มแข็ง  เราจะเขียนเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง บอกเล่าถึงความขัดแย้งทางการเมืองที่คาบเกี่ยวระหว่างคนรุ่นเราและท่าน บอกเล่าถึงข่าวความหวังจากคนรุ่นเราให้คนรุ่นท่านได้รับฟัง เราได้รับมรดกจากท่านมาแล้ว ขอให้ท่านจงสบายใจและเฝ้ามองความเป็นไปร่วมกับเรา

ในโอกาสวันปีใหม่ครั้งนี้ เราขออโหสิกรรมให้พวกท่าน พวกเราเองไม่ได้โกรธแค้นต่อสิ่งที่ท่านไม่สามารถรักษาไว้ให้ไว้กับคนรุ่นเราได้  แต่เราจะเป็นผู้สืบทอดภารกิจการสร้างประชาธิปไตย บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความกล้าหาญและความเป็นธรรมให้งอกงามบนผืนแผ่นดิน และหากคนในรุ่นเรายังทำไม่สำเร็จ เราเชื่อว่าเจตจำนงค์แห่งเสรีภาพและเสมอภาคจะถูกส่งต่อคนในรุ่นต่อไป

 

000

ตลอดงานได้มีเจ้าหน้าที่ทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายสิบนาย ทั้งในและนอกเครื่องแบบสังเกตการณ์อยู่โดยรอบวัด อีกทั้งในช่วงท้ายก่อนเสร็จสิ้นกิจกรรม ทางรองเจ้าอาวาสและพระสงฆ์ของวัดอุโมงค์ยังได้เดินเข้ามาชี้แจงกับผู้จัดกิจกรรมว่าทางเจ้าหน้าที่รัฐได้ติดต่อเข้ามายังวัด แจ้งว่ากิจกรรมที่ดำเนินอยู่อาจจะขัดต่อกฎหมาย จึงอยากจะขอให้รวบรัดกิจกรรมให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว 

จากนั้น ผู้ร่วมงานได้ร้องเพลง "บทเพลงของสามัญชน" ร่วมกัน ก่อนเสร็จสิ้นพิธีการ โดยไม่ทันที่จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารเข้ามาขัดขวางกิจกรรม

 

ที่มา ประชาไท (1,2)