รายงานเสวนา ‘ความอับจนของวรรณกรรมไทย’ สุชาติ ชี้อับจนเพราะนักเขียนไทย ไม่มีจุดยืน ไม่มีหลักการ สุธาชัย ระบุไม่พบบาทบาทวรรณกรรมไทยบอกเล่าความไม่เป็นธรรมหลังรัฐประหาร ขณะที่อาชญาสิทธิ์ มองวรรณกรรมยุคใหม่บันทึกความไร้สมรรถภาพทางสังคม
เมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา เวลา 16:30 น. ชมรมวรรณศิลป์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดกิจกรรม "วรรณศิลป์เสวนา" ในหัวข้อ "ความอับจนของวรรณกรรมไทย : พัฒนาการ เพื่อชีวิต แนวทดลอง" ณ ห้อง 107 ตึก 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี สุชาติ สวัสดิ์ศรี ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2554 สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ นักเขียนรุ่นใหม่ เป็นวิทยากร ร่วมแลกเปลี่ยนและเปิดมุมมองของวรรณกรรมไทยในแง่มุมต่างๆ ทั้งในแง่พัฒนาการทางวรรณกรรมไทยสมัยใหม่ งานเขียนแนวเพื่อชีวิต งานเขียนแนวทดลอง ร่วมวิเคราะห์ถึงสาเหตุความอับจนของวรรณกรรมไทยทั้งในอดีตและปัจจุบัน
สุชาติ ชี้อับจนเพราะนักเขียนไทย ไม่มีจุดยืน ไม่มีหลักการ
สุชาติ กล่าวในฐานะคนทำงานด้านหนังสือมามากกว่า 50 ปี ซึ่งไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าใดก็ตาม ก็มักมีตัวตายตัวแทนเกิดขึ้นมาตลอด ความอับจนวรรณกรรมไทยในมุมมองที่สุชาติเห็น คือ การที่นักเขียนไทยที่ไม่ค่อยจริงจังกับความคิดของตัวเอง ไม่มีจุดยืน ไม่มีหลักการ งานเขียนที่แสดงออกมาจึงตามสังคมไม่ทัน ถือว่าเป็นความผิดปกติจากโครงสร้างทางสังคมของวรรณกรรมเอง นักเขียนเป็นผู้ทำงานศิลปะที่ควรจะก้าวหน้าไปก่อนสังคมอย่างน้อยหนึ่งก้าว หากแต่นักเขียนบ้านเรา(ในมุมมองเชิงปัจเจก) มักอยู่บนหอคอยมีลักษณะว่างเปล่า เป็นผู้ตามมากกว่าและ ไม่ได้สนใจทั้งแนวเพื่อชีวิต โดยเฉพาะวรรณกรรมแนวทดลองก็ต้องเรียกร้องที่จะนำเสนอ ซึ่งมองย้อนกลับไปวรรณกรรมไทยนับจากยุคที่มีแท่นพิมพ์ ก็เมื่อประมาณ 140 ปีที่ผ่านมา (หมอบรัดเลย์) สิ่งที่ปรากฎออกมาทั้งจากสื่อสิ่งพิมพ์ ตั้งแต่ยุคบางกอกรีคอร์เดอร์ ไล่มาจนถึงถึง หนังสือดรุโนวาท ในปี 2417 นับว่าเป็นงานเขียนที่มีลักษณะร้อยแก้วแนวใหม่ (post- narrative) ซึ่งในสมัยนั้นไม่มีคำว่า “นิตยสาร”
เรื่องสั้นยุคแรกๆ คือ นายจิตนายใจ สนทนากันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการคอรัปชั่น ขุนนางคอรัปชั่น พระธุศีล ท้องเรื่องไม่ปรากฏผู้แต่ง แต่คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นผลงานของเจ้าพระยาภาสกรวงค์ กลุ่มสยามใหม่ ที่เป็นกลุ่มที่เฝ้ามองดูประเทศก้าวไปข้างหน้า กับอีกเรื่องคือ ชายหาปลาทั้งสี่ซึ่งอ่านแล้วมองว่าเป็นวรรณกรรมแนวทดลอง ที่เล่าเรื่องตัวละครสี่คน แต่มีการนำเสนอที่มี่ความสมจริง เนื่องจากนำเสนอว่าหูกาง ขี้มูกมาก ก้นแหลม มีสามมือ ทั้งสี่ออกเรือลำเดียวกันไปหาปลาและ ทุกคนต่างก็แสดงความเป็นฮีโร่ของตัวเองลักษณะนี่น่าจะเกิดขึ้นต่อมา เพราะเป็นแนวทดลองเรื่องสั้น สัจนิยมมหัศจรรย์ magical realism เพื่อชีวิต และทดลองหนังสือพวกนี้พัฒนาการมาเป็นหนังสือ วชิรญาณวิเศษ ทั้งสองเรื่อง ยกให้มีความพิเศษ เพราะ นายจิตนายใจมีทั้งมุมเพื่อชีวิต และแง่ทดลอง เป็นวรรณกรรมแบบ critical realism ในภาพรวมกว้างๆที่เป็นวรรณกรรมเพื่อชีวิต แนวนี้น่าจะพัฒนาการมาเป็นวรรณกรรมแนวทดลองแต่ทำไมไม่เกิดกับวรรณกรรมไทยในยุคต่อมา “สัจนิยมมหัศจรรย์” มันก็มีจุดตั้งต้นในไทยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่มีจุดตั้งต้นมาจากละตินอเมริกาเสมอไป เราจะเห็นการนำเสนอความมหัศจรรย์นี้เป็นลักษณะทางกายภาพ เหล่านี้เป็นความอ่อนแอของวรรณกรรมไทยที่อ่อนลงเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับเศรษฐกิจการเมือง ของสังคมไทย ไม่ไปข้างหน้า เพราะเริ่มนับหนึ่ง เรามีนักเขียนก้าวหน้ามาตั้งแต่ยุค รัชกาลที่ 5 หรือหลัง2475 แต่ทำไมมันถึงไม่เติบโต นักเขียน นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ คือคนเดียวกัน การแยกตัวแบ่งงานกันทำน่าจะเริ่มในยุคสฤษดิ์ ด้วยสภาพของสังคมที่มีความซับซ้อน หลากหลาย ทั้งเจ้าของโรงพิมพ์ สำนักพิมพ์ บรรณาธิการ แล้วต่อว่าเจ้าของมีอุดมคติขนาดไหน นี่คือความผกผันที่เกิดขึ้นในวงวรรณกรรมไทย การเข้ามาของวรรณกรรมเพื่อชีวิต มีที่มาอย่างไร วรรณกรรมแนวเพื่อชีวิต เหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ตลอด “มันสะท้อนให้เห็นความอับจนของวรรณกรรมยุคสมัยใหม่ปัจจุบัน”
ก่อนนั้นเรามีนักเขียนเชิงสังคม ที่เสนอเพื่อสังคม ความอับจนเกิดจากปัจเจกข้างนอกทำให้เกิดข้อต่อที่หายไป สำหรับผม การรัฐประหารคือการทำข้อต่อทางวรรณกรรมให้หายไป และความอับจนของวรรณกรรมไทย คือความอับจนของนักเขียนไทย
สุธาชัย : ไม่พบบาทบาทวรรณกรรมไทยบอกเล่าความไม่เป็นธรรมหลังรัฐประหาร
สุธาชัย พูดถึงเรื่องวรรณกรรมเพื่อชีวิต และเสนอแง่มุมความอับจนของวรรณกรรมไทย ด้วยการตั้งคำถามว่า 8 ปีที่ผ่านมาบ้านเมืองเราเกิดภาวะการณ์ที่ไม่ปกติ ซึ่ง เห็นได้ชัดหลังจากเหตุการณ์รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ณ ปัจจุบันได้ทำให้คนมีประสบการณ์ตรงและสิทธิของประชาชนก็ถูกละเมิด ในภาวะแบบนี้มีคำถามเคยสังเกตไหมว่าวรรณกรรมไทยเข้าไปมีบทบาทเป็นส่วนช่วยมากแค่ไหนวรรณกรรมไทยมีบทบาทที่จะเข้าไปเรียกร้องประชาธิปไตยหรือเรียกร้องสิทธิ์ที่จะบอกเล่าความไม่เป็นธรรมเหล่านี้หรือไม่ ซึ่งพบว่าไม่มีเลย
ตั้งแต่ปี พ.ศ 2549 จนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมไทยถูกทำให้ไม่ต้องเชื่อมกับการเมือง แต่กลับไปผูกติดกับทีวีที่ทำรายได้เข้ากระเป๋าคนมากกว่า ปรากฏการณ์แบบนี้จะโยงเข้ามาหาเรื่องของวรรณกรรมเพื่อชีวิต ซึ่งเมื่อก่อนมันตอบโจทย์สังคมมากกว่าทุกวันนี้
วรรณกรรมเพื่อชีวิต มีขึ้นหลังการรัฐประหาร พ.ศ 2490 ซึ่ง ได้เกิดกลุ่มนักเขียนที่ไม่พอใจและนำเสนอเชื่อมเข้ากับสังคมนิยมและต่อมานักเขียนกุหลาบ อัศนี พลจันทร์ จิตร ภูมิศักดิ์ ฯลฯ ก็มีการเขียนวรรณกรรมบนความคาดหวังว่าการกดขี่ขูดรีดต้องหมดไปโดยมีลักษณะเหล่านี้ กล่าวคือ
1. วรรณกรรมเพื่อชีวิตต้องเป็นของผู้ทุกข์ยากผู้ทุกทนคนในระดับล่าง เสนอให้เห็นความทุกยาก เป็นเครื่องมือในการวิพากษ์สังคมเก่าเพื่อที่จะชีให้เห็นความไม่เป็นธรรม
2. เพื่อชีวิต เน้นเนื้อหามากกว่ารูปแบบโดยเนื้อหาต้องเขียนให้ง่าย เข้าใจง่าย คนเข้าถึงเข้าใจได้ ซึ่งถ้าเนื้อการไม่เอาไหน วรรณกรรมอาจคือยาพิษ ต้องเสนอศิลปะให้เข้าใจเข้าถึงให้ได้ กระแสแบบนี้นำไปสู่การวิพากษ์วรรณกรรมศักดินาแบบเก่า หรือวรรณกรรมแบบทุนนิยมที่มีแต่เรื่องรักๆใคร่ๆ ช่วง2490 เป็นยุคทองของวรรณกรรมเพื่อชีวิต การขึ้นมีอำนาจยุคสฤษดิ์ทำให้วรรณกรรมเพื่อชีวิตซบเซาแต่กลับเป็นยุคทองของวรรณกรรมน้ำเน่า ต่างๆ ยุคนั้นคือการเปลี่ยนโครงสร้างของนักเขียนและมักมีแต่นักเขียนชาย การเกิดขึ้นของกฤษณา อโศกสิน ทมยันตีก็เติบโตจากวรรณกรรมยุคนี้ ผ่านนิยายเป็นตอนๆ ลำพังอาชีพเขียนหนังสือมันเลี้ยงชีพไม่ได้ แต่ด้านหนึ่งมันสามารถสร้างนักเขียนอาชีพได้
ยุคราว 2510 ช่วงของยุคสมัย “ฉันจึงมาหาความหมาย” เริ่มมีการตั้งคำถามกับนักเขียนแนวดังกล่าว นับเป็นกระแสของการกลับมาของวรรณกรรมเพื่อชีวิต และสั่งสมไปเป็นยุค 14ตุลา วรรณกรรมเพื่อชีวิตในยุคสมัยนี้รวมไปถึงวรรณกรรมแปลด้วย ช่วงสามปี14- 16 คือยุคทองวรรณกรรมที่เอางานยุคเก่าก่อนหน้านั้น มาทำการวิพากษ์ และมีการผลิตบทกวีเพื่อชีวิต สะท้อนชีวิตของคนในสังคมสมัยนั้นมาก เป็นวรรณกรรมปฏิวัติ ที่เสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงปฏิวัติสังคมการเกิดขึ้นทางวรรณกรรมที่มีความแตกต่างหลากหลายจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมดา หากแต่ชนชั้นนำไทยจัดการปัญหาโดยการฆ่า และการรัฐประหารกวาดล้างประชาชน โดยเฉพาะปี2519 มีวาระว่าด้วยกวาดล้างประชาชน นักศึกษา กรรมกร
ในช่วง2523-2524 เกิดการวิพากษ์กระแสวรรณกรรมเพื่อชีวิตที่ฉายภาพซ้ำๆ โครงเรื่องแนวเดิม เกิดความซ้ำซากทางวรรณกรรม เกิดเป็นวรรณกรรมน้ำนิ่ง วรรณกรรมเพื่อชีวิตจึงเข้าสู่ยุคเสื่อม เพราะกระแสการต่อสู่ที่เปลี่ยนไป สังคมที่ประนีประนอมมากขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญให้วรรณกรรมเพื่อชีวิตเสื่อมลงแต่ไม่ได้หายไปเลยเพราะมีนักเขียนรุ่นใหม่ขึ้นมาเขียนในเชิงวรรณกรรมสะท้อนสังคม เช่นงานเขียนเรื่องคำพิพากษา ของชาติ กอบจิตติ ซึ่งวรรณกรรมพวกนี้ไม่ได้เข้าสู่ขนบทางวรรณกรรมแบบเดิม แม้กระทั่งงานของทมยันติ ในยุคหลัง 6 ตุลา หรือในงานของหลายๆคนก็มีกลิ่นไอด้านสตรีนิยมเพิ่มขึ้นมา ในสังคมไทยเกิดการขยายตัวของจารีตนิยมครอบงำสังคมไทยชัดเจน มากขึ้น ยิ่งขบวนการของฝ่ายการก้าวหน้าเสื่อมลง สังคมไทยถอยหลังเข้าสู่กระแสอนุรักษ์นิยมมากขึ้น ภายใต้กรอบชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่ได้มีการเสนอวรรณกรรมที่ท้าทายสังคม เสนอสิ่งที่อยู่ในกรอบ สุธาชัย ยกตัวอย่างที่อาจสุดขั้ว เช่นงานเขียนของวสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งไม่ได้มีแนวการเขียนแบบโรแมนติก หากแต่เสนอความจริงจัง ด้วยอุดมการณ์เพียงชุดเดียว นั่นคือ เสนอการวิจารณ์ที่สามารถแก้ในระบบโดยยึดมั่นในความดีงาม ความเป็นไทย ความเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเหล่านี้จะทำให้ชาติบ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัย งานของวสิษฐ มียอดพิมพ์และมีคนอ่านงานอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นตัวอย่างแนวการเสนอที่ปรากฏในวรรณกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะวรรณกรรมประวัติศาสตร์ของ ว วนิจฉัยกุล รวมไปถึงนิยายทางการเมืองที่ได้รางวัลซีไรต์ เรื่องประชาธิปไตยในเส้นขนาน ของวิน เลียววารินทร์ ซึ่งมีแนวคิดแบบเก่าปรากฏในวรรณกรรมแทบทั้งหมด โดยนักเขียนเหล่านี้สุธาชัยมองว่านักเขียนเหล่านี้เขียนไม่รู้ตัวที่กลับเข้ามาอยู่ในกรอบ
อาชญาสิทธิ์ : วรรณกรรมยุคใหม่บันทึกความไร้สมรรถภาพทางสังคม
อาชญาสิทธิ์ มองเห็นความอับจนของวรรณกรรมยุคใหม่ที่มองเห็นวรรณกรรมนั้นบันทึกความไร้สมรรถภาพทางสังคม เป็นวรรณกรรมที่สิ้นหวังวรรณกรรมทดลอง ทุกคนต้องมองจากวรรณกรรมวิน เลียววารินทร์ มีความโดดเด่นขึ้นมาในวรรณกรรมแนวทดลอง แต่วรรณกรรมแนวนี้มีมานานแล้ว คนที่สนใจคือ ครูเหลี่ยม ที่มีนักเรียนนอกกลับมา กล่าวคือ กลุ่ม นมส ได้นำเอาแนวการเขียนวรรณกรรมแนวร้อยแก้วแนวใหม่มาใช้ในสังคมไทย อีกงานหนึ่งของพระยาประภากรวงค์ ที่มีการใช้คำพูดแปลกใหม่ในงานวรรณกรรม และมีงานของครูเหลี่ยมได้ออกงานมาชื่อว่า ถลกวิทยา มาล้อกับ ลักวิทยา ซึ่งถือว่าเป็นการเขียนงานแนวทดลองแบบหนึ่ง เหล่านี้คือการที่ครูเหลี่ยมทดลองเอาเรื่องเพศมาพูดอย่างโจ่งแจ้งในงานเขียนของตนและยังมีใครหลายคนที่พยายามเขียนเรื่องที่จะเขียนงานแหวกแนวไปจากยุคสมัยของตน เหล่านี้ล้วนเป็นวรรณกรรมทดลองที่เล่าเรื่องแนวใหม่
อาชญาสิทธิ์มองว่า การเร่งผลิตงานวรรณกรรมเพื่อชีวิต ขาดสีสันในทางวรรณศิลป์ วรรณกรรมทดลองร้อยแก้วแบบใหม่ มีการเอาความเป็นฝรั่งเข้ามา แต่ก็มีการพยายามใช้ความเป็นไทยในการหักล้างแนวคิดฝรั่ง ล่าสุดมีการค้นพบว่ามีนักเขียนหนังสือแนวโป๊ ที่ใช้คำตรงไปตรงมา แหกออกจากกรอบ
ขนบวิกตอเรียน ซึ่งไม่กล้าพูดเรื่องเพศโจ่งแจ้งโดยขนบของสังคม เป็นการพยายามทดลอง ถ้าอย่างนั้น เป็นการเล่าเรื่องโดยใช้สำนวนสวิง เรียกว่าเป็นนักเขียนในแนวทดลองเล่าเรื่องแบบใหม่ๆ ในขณะที่ตัวเองเขียนเล่าเรื่องแนวเดียวกัน หรือแม้กระทั่งในช่วงที่มีงานหลายชิ้นที่พยายามนำเสนอแนวใหม่
วรรณกรรมแนวทดลองมีบทบาทในก่อนหน้านั้นเป็นกระแสของวรรณกรรมเพื่อชีวิต มีการเร่งผลิตเร่งปั่นจนเกินไป จนขาดอารมณ์เชิงวรรณศิลป์ แต่ก็เงียบไปหลัง 6 ตุลา การฟื้นมาใหม่กลายป็นวรรณกรรมบาดแผล ซ้ำซากและวนไปวนมา จะทำไงดีที่จะไม่เล่าเรื่องแนวเดิมๆ ไม่ใช่เพื่อสังคม วรรณกรรมสร้างสรรค์ ความพยายามหาทางให้พ้นจากวรรณกรรมเพื่อชีวิต
ในทศวรรษ2520 การเกิดขึ้นของซีไรต์ เกิดคำว่าวรรณกรรมสร้างสรรค์ซึ่งมองว่าวรรณกรรมสร้างสรรค์เหล่านั้นมีกลิ่นอายเพื่อชีวิต ตัวอย่างเรื่องคำพิพากษา เรื่องราวของฟักและสมทรง ก็พยายามที่จะหนีจากความเป็นเพื่อชีวิต แต่นั้นก็ไม่ได้มีการปรากฏตัวของวรรณกรรมของวิน เลียววารินทร์เลย โดยคอลัมน์ช่อการะเกดก็เป็นการปรากฏตัวของวรรณกรรมแนวทดลอง การพยายามเล่าเรื่องที่ฉีกกรอบออกไป เช่น การใช้สัจนิยมมหัศจรรย์
หลังทศวรรษ2530 ผู้คนใช้ชีวิตแนวปัจเจกมากขึ้น สังคมไม่ได้เอื้อให้คนมีความรู้สึกว่าต้องทำอะไรเพื่อสังคม นักเขียนจึงมีแนวโน้มที่จะเขียนเรื่องเพื่อการตรวจสอบจิตสำนึกภายในของตัวเองมากกว่า สำรวจตัวเองมากกว่าและในยุคปัจจุบันคนที่เกิดและเติบโตจากงานเพื่อชีวิต คนพยายามหาวิถีที่จะเขียนและนำเสนองานในรูปแบบใหม่
หลัง2545 มีการปรากฏตัวของงานปราบดา หยุ่น ที่เป็นวรรณกรรมแนวทดลอง ซึ่งต่างไปจากงานของวิน ที่เล่าเรื่องโดยใช้ค่านิยมเก่า เล่าเรื่องผ่านเทคนิค กลวิธี แต่ปราบดา หยุ่นเสนองานวิพากษ์ค่านิยมเก่า ส่วนงานของนิ้วกลมก็มีความต่างออกไป วรรณกรรมทดลองจึงมีแนวโน้มที่ต่างออกไป สังคมในยุคนี้ เด็กยุคใหม่จึงมองว่าวรรณกรรมจึงไม่มองเห็นสิ่งนี้เป้นส่วนของการเคลื่อนไหวทางสังคมซึ่งเขาคิดว่าใช้สื่อนำเสนอได้ดีกว่านิ้วกลม มีความแตกต่างอีกหลังจากนี้เป็นต้นไป วรรณกรรมทดลองคงเปลี่ยนโฉมไปมากกว่านี้ วรรณกรรมทดลองควรจะส่งเสริมให้มีการเกิดขึ้น สภาพสังคมทุกวันนี้ เด็กรุ่นใหม่ไม่ได้มองวรรณกรรมเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหว ใช้สื่ออื่นๆ ได้มากกว่าการเขียนวรรณกรรม
- 44 views