Skip to main content

ผมเห็นผู้ปกครองมาส่งนักศึกษาใหม่เข้าเรียนผู้ปกครองท่านนี้เป็นคนยากจน เขามาถามรายละเอียดกับผมเรื่องการจ่ายเงิน เบ็ดเสร็จแล้วก็เป็นหมื่นซึ่งอาจเป็นราคาปกติที่จะต้องจ่ายเมื่อเข้ามหา’ลัย

แม่ของนักศึกษาใหม่แต่งตัวด้วยชุดเก่าๆ เหมือนกันนักศึกษาใหม่คนนั้นนั่งพะวงกันว่าเราจะเอาตังค์มาจากไหน  "ลูกเก็บไว้ก่อนนะแม่จะกลับไปหาตังค์ก่อนแล้วจะรีบโอนมาให้ทัน" ผมยืนนิ่งด้วยความสะเทือนใจและรอรับให้คำปรึกษา จนผู้ปกครองกลับไป โดยคิดว่ายังไงลูกต้องได้เรียน

หากแต่ท่านผู้ปกครองนั้นหารู้ไม่ว่าการอยู่มหาวิทยาลัยนั้นต้องมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว ที่ต้องจ่ายให้มหาวิทยาลัย ผมเรียกมันว่า "ภาษีสังคม" ซึ่งเกิดจากการจัดกิจกรรมในมหาวิทยาลัย ทั้งที่มหาลัยรับทราบแต่ไม่มีงบให้ แต่ต้องการความหวังว่างานจะออกมาดีโดยทิ้งภาระให้เป็น "สปริตของนักศึกษา" แน่นอนสปิริตในยุคทุนนิยมต้องใช้เงินด้วย หากแต่ไม่จบแค่นั้นเขายังจะต้องจ่ายค่ารายละเอียดยิบย่อยในเมเจอร์ของเขาอีกไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์เสื้อหรือว่า "เงินรุ่น" รวมเบ็ดเสร็จหมื่นนึงก็เอาไม่อยู่เรียกได้ว่าเป็นค่าเทอมนอกรายการ 

ยังรวมถึงการจัดงานต่างๆ ไม่ว่าจะรับน้องบายเนียร์ครบรอบโน่นนี่ ซึ่งแต่ละงานแบกรับเงินได้ถึงระดับแสนและมากไปกว่านั้น

นักกิจกรรมบางส่วนที่มี "สปิริต" จึงต้องการสร้างงานโดยหยิบยกเงินมาจากเงินรุ่นที่ว่าโดยการเรียกเก็บเป็นก้อนรายอาทิตย์หรือรายเดือนก็สุดแท้แต่การจัดการ แต่เขาก็มุ่งประเด็นไปที่งานจนลืมนึกถึงพื้นฐานการมาอย่างไม่เท่ากันของแต่ละคนในทางฐานะ

เหตุก็เพราะว่ามหาลัยได้กำหนดราคาค่าเครื่องแบบลงในรายการที่นักศึกษาจะต้องจ่ายเสียแล้วการที่เราจะเห็นปีหนึ่งใส่ชุดนักศึกษาใหม่หมดนั่นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นทุกปี มันจึงบิดกั้นความจริงในทางฐานะของแต่ละบุคคล จนไม่รู้ว่าใครรวยใครจน

เอาเข้าจริงๆ ประเด็นนี้ถกเถียงกันได้อีกมาก เรื่องเครื่องแบบกับการปกปิดและสร้างความเท่า(กัน)เทียม เพราะสุดท้ายมันก็ปิดไม่ได้ว่าใครรวยหรือจน

หากแต่ทว่ามันคือเบื้องต้นที่จะทำให้เราลืมคิดไปได้ในชั่วขณะหนึ่ง กระนั่นมันคือความเท่ากันเหมือนกันไม่ใช่ความเท่าเทียมที่แท้จริง

เมื่อเรามองทุกคนเท่ากัน แต่งตัวดี เราก็จะลืมถึงฐานะของแต่บ้านแต่ละคนด้วยภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อหน้า มันจะไม่สามารถบอกได้ว่าเราจะเท่ากันในความจนหรือในความรวย เมื่ออ่านถึงตรงนี้จึงอยากให้กลับไปย้อนอ้างข้างบนอีกว่า ยังไงนักกิจกรรมต้องใช้เงิน (และเมื่อนั้นคนจนจะเสียเปรียบในความเท่ากัน)เพราะเมื่อกำหนดราคาเฉลี่ยในการจ่าย จนรวยต้องจ่ายเท่ากันกับเพื่อน

ฉะนั้นผมจึงอยากให้ท่านทั้งหลายที่อาจลืมความเป็นจริงของฐานะที่มาแต่ละบุคคล กลับไปนั่งไตร่ตรองพิจารณาในการเก็บภาษีสังคม ด้วย เพราะท่านกำลังทำร้าย เพื่อนคนหนึ่งอยู่รวมถึงครอบครัวเขาด้วย

เงินสำหรับบางคนจ่ายได้สุรุยสุร่ายแต่กลับบางคนเลือดตาแทบกระเด็น นักศึกษาใหม่หลายท่านจึงต้องแบกรับความคาดหวังของชนชั้นล่างของครอบครัวที่จะยกระดับลูกหลานให้เป็นชนชั้นกลางด้วย

ผมและมิตรสหายหลายท่านซึ่งทราบเรื่องแบบนี้ดี จึงเรียกร้องเรื่องรัฐสวัสดิการการศึกษาเพื่อเปิดโอกาสให้แก่คนจน ได้มีโอกาสทางการศึกษา นั่นจึงควรจะเป็นทิศทางที่เดินไปไม่ใช่การออกนอกระบบ ที่จะยิ่งทำให้มหาวิทยาลัยกลายเป็นโรงเพาะเลี้ยงเด็กในระบบทุนนิยมเพื่อออกมาป้อนแก่ตลาดแรงงาน ตามที่มหาลัยดังใหญ่ๆของไทยได้เดินทางกันแบบผิดๆ(ในความคิดของเรา)ไปแล้ว