ทหารเรียกสอบ ‘ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ’ อาจารย์ ม.สารคาม โยงการเคลื่อนไหวของกลุ่มดาวดิน เจ้าตัวยันไม่ฝักใฝ่สีเสื้อสีใด เคลื่อนไหวประเด็นความยุติธรรมจากการพัฒนาและความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม ทำมาทุกรัฐบาล ทุกยุค ทุกสมัย
หลังจากเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ผ่านมา เสนาธิการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดมหาสารคาม (กกล.รส.จว.ม.ค.) ได้โทรศัพท์หา ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อสอบถามข้อมูลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มดาวดินหรือไม่ จากนั้น ได้นัดหมายให้ ไชยณรงค์ เพื่อไปเซ็นหนังสือยืนยันไม่เกี่ยวข้องการเมือง ในวันที่ 13 มิ.ย.58 ณ หอประชุมศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งทาง อ.ไชยณรงค์ ได้ขอเลื่อนเป็นวันที่ 15 มิ.ย.58 นั้น
ล่าสุด ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจว่า วันนี้ (15 มิ.ย.58) เวลาประมาณ 09.00 น. อ.ไชยณรงค์ ได้เดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัดมหาสารคาม ตามที่นัดหมายไว้ เจ้าหน้าที่ ซึ่งประกอบด้วย เสธ. กกล.รส.จว.ม.ค., สวป.สภ.เมืองมหาสารคาม และฝ่ายปกครอง ได้สอบถามถึงเหตุการณ์ที่ทางกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาดไปถือป้ายที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยร่วมกับขบวนการประชาธิปไตยใหม่ เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา อันเป็นเหตุให้ทางผู้บังคับบัญชาสั่งให้ กกล.รส.จว.ม.ค. ตรวจสอบว่า ไชยณรงค์ กับกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาด และกลุ่มนักศึกษา “ดาวดิน” มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ไชยณรงค์ ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาเขาให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการแก่กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้านนามูล-ดูนสาด คือให้ข้อมูลด้านผลกระทบ และสิทธิชุมชนที่ถูกละเมิดภายใต้ระบบสัมปทานปิโตรเลียม ส่วนกลุ่มดาวดิน เขาไม่เคยติดต่อหรือเกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ยังได้ถามด้วยว่า กลุ่มดาวดินเกี่ยวข้องยังไงกับกลุ่มอนุรักษ์ฯ บ้านนามูล ไชยณรงค์อธิบายว่า นักศึกษากลุ่มดาวดินได้ไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการขุดเจาะก๊าซ ชาวบ้านจึงถือว่า ดาวดินเป็นลูกหลาน เมื่อดาวดินถูกจับจากการพูดเรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้าน ชาวบ้านก็ไปให้กำลังใจกัน
หลังการพูดคุยโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ได้ให้เขาเซ็นบันทึกข้อตกลง เพื่อยืนยันว่า จะไม่เกี่ยวข้องและเคลื่อนไหวกับกลุ่มที่ไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มทางการเมือง
ทั้งนี้ ก่อนหน้าเข้าพบทหาร 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไชยณรงค์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก มีข้อความ้พื่อผยืนยันเจตนารมณ์ของเขาดังนี้
1) การเคลื่อนไหวของผมคือการเคลื่อนไหวทางสังคม สิ่งแวดล้อม ชาติพันธุ์ สิทธิมนุษยชน และสิทธิชุมชน โดยเฉพาะประเด็นความยุติธรรมจากการพัฒนาและความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งผมทำมาทุกรัฐบาล ทุกยุค ทุกสมัย ทำมาตั้งแต่ผมเป็นนักศึกษา และเมื่อผมเป็นนักวิชาการผมก็ยึดแนวทางนำวิชาการมารับใช้สังคม ทั้งการวิจัย การบริการวิชาการ และการแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ ถึงวันนี้ผมขอยืนยันถึงจุดยืนตรงนี้ของผม
2) ผมขอยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ฝักใฝ่สีเสื้อสีใด หรือกลุ่มอำนาจใด ขออย่าได้โยงผมหรือผลักผมไปสีนั้นสีนี้ ถ้าผมจะมีสี สีของผมมีสีเดียวนั่นก็คือสีเขียว (ธรรมชาติ/สิ่งแวดล้อม/การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรม)
3) หากการเคลื่อนไหวของผมไปเกี่ยวโยงกับประเด็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ก็ไม่ได้มีความหมายว่าเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองในความหมายแคบๆ ที่เป็นการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกัน แต่คือการที่ผมยืนอยู่ข้างคนตัวเล็กตัวน้อย คนชายขอบ และคนกลุ่มรองทางสังคม ที่ไร้ซึ่งอำนาจในการต่อรองในบริบทของการพัฒนา การแย่งชิงทรัพยากร และความไม่เป็นธรรมทางสังคม